สุลต่านสุลัยมาน(ชาห์) เป็นบุตรชายคนโตของท่านโมกอลล์ ซึ่งอพยพครอบครัวจากเมืองสาเลห์ (ชวาภาคกลาง) โดยทางเรือมาตั้งหมู่บ้านที่ตำบลหัวเขาแดง ริมทะเลปากอ่าวสงขลา ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ในประมาณปีพ.ศ. 2145 สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เป็นข้าหลวงผู้สำเร็จราชการนครสงขลา และดำรงตำแหน่งนี้จนถึงปี พ.ศ. 2163 จึงถึงแก่อสัญกรรม ท่านสุลัยมานจึงขึ้นครองนครสงขลาแทนบิดาในปี พ.ศ. 2163 ในฐานะผู้สำเร็จราชการนครสงขลา ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ต่อมาในปีพ.ศ. 2173 เจ้าพระยากลาโหมศรีสุริยวงศ์ ปราบดาภิเษกเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ปราสาททอง ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง" (ครองราชย์ พ.ศ. 2173-2199) ท่านสุลัยมานเห็นว่ามิใช่เป็นการสืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมนเฑียรบาล จึงประกาศแข็งเมืองไม่ยอมขึ้นกับกรุงศรีอยุธยา และได้ประกาศเป็นรัฐอิสระตั้งแต่ปี พ.ศ. 2173 ย้อนไปเมื่อประมาณ 400 กว่าปี ในสมัยของพระเจ้าแผ่นดินนามว่าเอกาทศรถแห่งอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ได้มีดาโต๊ะโมกอลล์แห่งกรุงยอกยากาต้า (เกาะชวา อินโดนีเซีย) หลบภัยจากการล่าอาณานิคมของชาวฮอลันดา มาจอดรถ ณ หัวเขาแดงแห่งนี้ เพราะเห็นว่ามีชัยภูมิที่ดีจึงตกลงสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยพร้อมบริวาร ซึ่งในปี พ.ศ. 2148 ดาโต๊ะ โมกอลล์ ได้ถวายตัวสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระเอกาทศรถ และในเวลาต่อมาพระองค์ได้แต่งตั้ง ดาโต๊ะ โกมอลล์ เป็นข้าหวลงสำเร็จราชการเมืองสิงขรา ท่านมีบุตรอยู่ 2 คนด้วยกันคือ สุลัยมาน และฟารีซี และมีบุตรีหนึ่งคนคือฟาติมะห์ ด้วยชื่อเสียงในฐานะเป็นเมืองท่าเทียบเรือจากนานาประเทศที่หมุนเวียนมาจอดพักหลบมรสุม เมืองสิงขรา หรือเมืองชิงกอรา ได้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายหลังดาโต๊ะ โมกอลล์ ล่วงลับแล้ว บุตรชายคนโตคือสุลัยมานได้สืบทอดตำแหน่งแทนบิดา จนมีอำนาจเหนือเมืองใต้ในแถบนี้ และในปี พ.ศ. 2172 สมัยพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงศรีอยุธยาทรงพระนามว่า พระเจ้าปราสาทอง ภายในแผ่นดินมีการแย่งชิงราชสมบัติ เป็นเหตุทำให้ท่านสุลัยมานประกาศอิสระภาพ และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นสุลต่าน ผู้นำแห่งรัฐสิงขรานคร เมื่อในปี พ.ศ. 2185 พร้อมกับสร้างป้อมปราการและกำแพงรอบเมืองให้ดูมีความมั่นคงและแข็งแรงมากขึ้น แม้แต่กองทัพแห่งกรุงศรีอยุธยาจะยกทัพมาตี ก็ต้องพา่ยแพ้กลับไปทุกครา ครั้นเมื่อถึงวาระสุดท้าย สุลต่านได้ล่วงลับไปในปี พ.ศ. 2211 รวมอายุได้ 76 ปี โดยได้ประกอบพิธีฝังศพ ณ สุสานหาดทรายใกล้เขาแดงนี้เอง และผู้ที่มาสืบทอดต่อจากสุลต่านสุลัยมาน ก็คือบุตรชายองค์ใหญ่ นามว่า มุสตาฟา ในช่วงปี พ.ศ. 2211-2223 ซึ่งอยู่ในสมัยของพระเจ้าแผ่นดินพระนามว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในเวลาต่อมารัฐสิขรานคร ได้ถูกปราบปรามลงเป็นเมืองขึ้นตรงต่อการปกครองของสยามประเทศดังเดิมแล้ว บุตรชายทั้งสามของท่านสุลต่านสุลัยมาน ก็ต่างแยกย้ายกันไปรับราชการสนองพระเบื้องยุคลบาทพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยามสมัยอาณาจักรศรีอยุธยา คือ มุสตาฟา ในเวลาต่อมาได้เป็น พระยาศรีวิชัยสงครา , ฮุสเซน ต่อมาได้เป็น พระยาจักรี เจ้าเมืองพัทลุง , ฮัสวัน ต่อมาได้เป็น พระยาบังสันแม่ทัพเรือ ในสายตระกูลสุลัยมานที่มีบทบาทสำคัญยิ่งคือ เจ้าพระยาพัทลุงคางเหล็ก ( ขุน ) เท้าความถึงแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา พระยาพัทลุง ผู้บิดาพาบุตรชายชื่อขุนไปถวายตัวเป็นมหาดเล็ก มีเพื่อนรุ่นเดียวกันอีก 3 คน รวมเป็น 4 คน ดังนี้ คือ สินต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช , ทองด้วงต่อมาคือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ( รัชกาลที่ 1 ) บุญนาคต่อมาเป็นเจ้าพระยามหาเสนา ต้นตระกูลบุญนาคในปัจจุบัน , และขุน รับราชการอยู่ร่วมกับสินเป็นหนึ่งใน 500 คนที่ร่วมตีฝ่าวงล้อมแหกค่ายทหารพม่าออกมารวมพลต่อสู้กับกองทัพพม่าจนได้รับอิสรภาพภายใน 7 เดือน และเมื่อบิดา คือพระยาพัทลุงล่วงลับแล้ว ขุนจึงได้สืบตำแหน่งแทนเป็นพระยาแก้วโกรพพิชัย และเป็นต้นตระกูล ณ พัทลุง นับเป็นสายตระกูลสุลัยมานท่านหนึ่งที่มีบทบาทร่วมกอบกู้เอกราชชาติไทยกลับคืนมาหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งท้ายสุดในปี พ.ศ. 2310 นั้นเอง